นาวาอากาศเอกหญิง จุฑารัตน์ เมฆมัลลิกา
การวินิจฉัยโรคติดเชื้อมักใช้อาการทางคลินิกเป็นสำคัญ แต่บางครั้งอาการทางคลินิกที่มีความคล้ายคลึงกัน
ก็ไม่สามารถให้การวินิจฉัยที่ถูกต้องได้ จึงจำเป็นต้องมีการตรวจเพิ่มเติมทางห้องปฏิบัติการ
ซึ่งความสามารถของห้องปฏิบัติการจะมีความแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ หากเราสามารถมีเครื่องมือในการวินิจฉัยแบบง่ายๆ
ณ จุดที่ดูแลรักษาผู้ป่วย และได้ผลในเวลาอันรวดเร็ว ก็จะเป็นประโยชน์ในการรักษาอย่างมาก
อีกทั้งอุปกรณ์บางอย่างผู้ป่วยนำไปใช้ได้เองได้ เพื่อการติดตามการรักษาอีกด้วย
Point-of-care testing (PoCT)
หมายถึงการทดสอบเพื่อให้การวินิจฉัย ณ จุดที่จะทำการดูแลรักษาผู้ป่วย1 ปัจจุบันหมายรวมถึงชุดทดสอบที่ให้ผลอย่างรวดเร็ว
และสามารถทำภายนอกห้องปฏิบัติการกลางที่มีความซับซ้อน2 ซึ่งมีวัตถุประสงค์
เพื่อให้การวินิจฉัย ติดตามอาการ และติดตามการรักษา และควบคุมโรค (infectious control)3 การตรวจนี้สามารถทำได้ตั้งแต่ที่บ้าน
ห้องตรวจผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลปฐมภูมิ ตลอดจนโรงพยาบาลทุติยภูมิได้ ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือที่ซับซ้อน
มักเป็นประโยชน์อย่างมากในประเทศกำลังพัฒนา4
การออกแบบเครื่องมือที่จะนำมาเป็น PoCT ควรจะมีคุณสมบัติดังนี้ ใช้งานง่าย น้ำยามีความคงตัวและเพียงพอ
ผลของการทดสอบมีความถูกต้อง และอุปกรณ์ตลอดจนน้ำยาที่ใช้ต้องมีความปลอดภัย5 องค์การอนามัยโลกได้กำหนดเกณฑ์ของการพัฒนา
PoCT
สำหรับการตรวจโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งนำมาปรับใช้กับ PoCT ของโรคติดเชื้ออื่นๆได้ เรียกว่า ASSURED ได้แก่ Affordable (ราคาถูก), Sensitive (ให้ผลลบลวงต่ำ),
Specific (ให้ผลบวกลวงต่ำ), User-friendly (มีขั้นตอนน้อย), Rapid & Robust (ระยะเวลาในการทดสอบรวดเร็วและไม่จำเป็นต้องใช้ตู้เย็น),
Equipment-free (ไม่ใช้อุปกรณ์ที่ซับซ้อน) และ Delivered (ได้ผลถึงผู้ใช้)6
PoCT สามารถใช้ตรวจ biomarker ของร่างกายได้หลายชนิด
ได้แก่ โปรตีน กรดนิวคลิอิก เมตาโบไลต์ ยา ไอออน เซลมนุษย์ และเชื้อก่อโรค
จากสิ่งส่งตรวจที่ได้แก่ เลือด น้ำลาย ปัสสาวะ และสารคัดหลั่งอื่นๆ3
PoCT สามารถแบ่งเป็นประเภทต่างๆตามเทคโนโลยีที่ใช้ได้ดังนี้
7
เทคโนโลยีใหม่นี้นำมาใช้ในการตรวจกรดนิวคลิอิกสำหรับโรคติดเชื้อหลายชนิด
ซึ่งปัจจุบันจะมีการพัฒนาจาก GeneXpert ที่เป็น automate PCR-based
assay ไปเป็น rapid molecular testing ในอนาคตโดยใช้
cartridges ปัจจุบันมีการใช้ GeneXpert แล้วในการตรวจโรคติดเชื้อได้แก่ Staphylococcus aureus, MRSA,
Clostridium difficile, โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์, วัณโรค
และวัณโรคดื้อยา (Rifampicin resistant Mycobacterium tuberculosis, MTB/RIF)7
นอกจากนี้ยังมีการนำนาโนเทคโนโลยี (nanodiagnostics) มาใช้
เช่น nanoparticle-based diagnosis, nanodevice-based diagnosis โดยการใช้ LOC และ microfluidics สามารถตรวจหา biomarker หลายๆอย่างในเวลาเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น ชุดตรวจหาโรคติดเชื้อที่มาจากเลือด
ซึ่งเป็นการตรวจหา HIV, HBV และ HCV ในคราวเดียวกัน
อย่างไรก็ตามการตรวจนี้มีข้อจำกัดคือ ต้องใช้ปริมาณสิ่งส่งตรวจมาก
และใช้เวลาการตรวจนานขึ้น ตัวอย่างของการนำ nanodiagnostics ใน
PoCT ที่จะใช้ในการตรวจหาโรคติดเชื้อได้แก่ miniaturized
diagnostic magnetic resonance platform, magnetic barcode assay systems, cell
phone-based polarized light microscopy platform, cell
phone dongle platform และ paper-based
PoCT platform8
การตรวจ PoCT มีหลายแบบ
เป็นชุดตรวจแบบกลุ่มอาการ หรือ ชุดตรวจเฉพาะเชื้อจุลชีพ
ซึ่งให้ผลของความไวและความจำเพาะของชุดตรวจแตกต่างกัน
ขึ้นกับชนิดของชุดตรวจแต่ละบริษัท ความชุกของโรคในขณะนั้น ระยะเวลาของโรค
การเก็บสิ่งส่งตรวจ การส่งสิ่งส่งตรวจ แหล่งที่มาของสิ่งส่งตรวจ มาตรฐานที่นำมาเปรียบเทียบ
และความชำนาญของผู้ตรวจ9 จะขอยกตัวอย่างในการศึกษาของความไวและความจำเพาะของชุดตรวจต่างๆในแต่ละโรคพอสังเขปดังนี้
RSV มีความไวร้อยละ 41.2-83 และความจำเพาะร้อยละ 83-100 ไข้หวัดใหญ่มีความไวร้อยละ 22-82 และความจำเพาะร้อยละ 99 สเตรปโตคอคคัสกรุ๊ปเอมีความไวร้อยละ
56-90 และความจำเพาะร้อยละ มากกว่า 97
และไข้เลือดออกมีความไวร้อยละ 77.3 และความจำเพาะร้อยละ 100 ตามลำดับ2
สรุป
PoCT นำมาใช้ในการตรวจหา biomarker ที่สำคัญของโรคติดเชื้อได้หลายอย่าง ที่ใช้บ่อยคือการตรวจหาแอนติเจนและแอนติบอดี ซึ่งให้ผลการทดสอบรวดเร็ว เนื่องจากใช้หลักการของ LFS แต่ก็อาจมีข้อจำกัดในเรื่องของความถูกต้องแม่นยำบ้าง ปัจจุบันมีการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่สามารถตรวจหาเชื้อก่อโรคได้หลายชนิดในคราวเดียวกัน โดยตรวจหากรดนิวคลิอิกของเชื้อก่อโรค แต่ก็มีความยุ่งยากซับซ้อน และยังมีราคาแพง อย่างไรก็ตามการวินิจฉัยต้องอาศัยอาการทางคลินิก และการติดตามอาการอย่างต่อเนื่องเป็นสำคัญ แล้วใช้ผลทางห้องปฏิบัติการนำมาประกอบในการดูแลรักษาผู้ป่วยต่อไป
เอกสารอ้างอิง